ไวรัสตับอักเสบ สาเหตุของมะเร็งตับ




สำหรับผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง จะไม่มีอาการผิดปกติ จนกว่าจะเกิดตับแข็งระยะสุดท้าย หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนจากตับแข็ง และมะเร็งตับ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง เป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดของการเกิดมะเร็งตับ ซึ่งจัดเป็นมะเร็งที่พบบ่อยมากในประเทศไทย ในขณะนี้มีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ประมาณร้อยละ 5 ของประชากร หรือประมาณ 3 ล้านคน และผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ประมาณร้อยละ 1 – 2 ของประชากร หรือประมาณ 1 ล้านคน นั่นคือ มีคนไทยราว 4 ล้านคน ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง

หลายคนอาจไม่รู้ว่า ตับ มีประโยชน์อย่างไร กล่าวอย่างง่าย ๆ คือ ตับมีหน้าที่สร้างโปรตีนต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย สร้างน้ำดีและเกลือน้ำดีช่วยย่อยสลายไขมัน เก็บสำรองอาหารผลิตเป็นพลังงานแก่ร่างกาย สะสมและสร้างวิตามิน กำจัดยาและสารพิษ และยังทำหน้าที่ภูมิต้านทานให้ร่างกายด้วย เมื่อทราบดังนี้แล้ว เราควรจะดูแลตับของเราให้ดี

ควรหลีกเลี่ยงการมีพฤติกรรมเสี่ยง จากการเจาะ สักผิวหนัง ฉีดยาเสพติด หรือเชื้อเข้าทางบาดแผล การมีคู่นอนหลายคน โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ควรสวมถุงมือ แว่นตาหรือชุดคลุม เมื่อต้องสัมผัสกับเลือด หรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยทุกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ไวรัสตับอักเสบทั้ง 2 ชนิด ไม่ติดต่อหลักทางน้ำลาย หรือการสัมผัสภายนอก ดังนั้น การกินอาหารร่วมกัน หรือดื่มน้ำแก้วเดียวกัน เข้าห้องน้ำห้องดียวกัน จึงไม่ใช่ทางติดต่อ
ในหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ควรแจ้งแพทย์ขณะฝากครรภ์ เพื่อป้องกันการติดต่อไปสู่ทารกขณะคลอด โดยการฉีดวัคซีนร่วมกับให้อิมมูโนกลอบบูลิน เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่แรกคลอด และประเมินความจำเป็นที่ต้องกินยาต้านไวรัสตับอักเสบบี เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก

สำหรับคนทั่วไป การฉีดวัคซีนเพียง 3 เข็ม สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ช่วยสร้างภูมิต้านทานป้องกันการติดเชื้อได้ตลอดชีวิต ส่วนวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซีในปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย

สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่โดนเข็มเจาะเลือดของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัส ตับอักเสบบีต่ำ หากไม่มีภูมิต้านทานเลย ควรได้รับการฉีดวัคซีน 3 เข็ม ร่วมกับอิมมูโนกลอบบูลินเพื่อป้องกันการติดเชื้อ หากมีภูมิต้านทานแต่ระดับน้อยกว่า 10 ยูนิต ควรได้รับการฉีดอิมมูโนกลอบบูลินร่วมกับวัคซีน 1 เข็ม เพื่อกระตุ้นภูมิต้านทาน นอกจากนี้ ผู้ที่โดนเข็มตำ ควรได้รับการตรวจเลือด เพื่อตรวจดูไวรัสตับอักเสบซีและเชื้อเอชไอวีร่วมด้วยค่ะ

ขอขอบคุณบทความจาก http://bit.ly/1F8gP3A


เรื่องน่าสนใจอื่นๆ....

http://succeedunilever.blogspot.com/2015/11/unilever-unilever-network.html 

http://avianceperfec.blogspot.com/
http://collagenmatrix2016.blogspot.com/




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น